วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Kanheri Caves มรดกพุทธศาสนาอีก 1 ที่ที่ควรเยือน

มีถ้ำหลายถ้ำในอินเดียที่เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาในศาสนาของคนอินเดียสมัยโบราณ ที่ดังมากๆคุ้นหูคนไทยเป็นอย่างดีก็เช่น ถ้ำอชันตา และถ้ำอโรรา ในเมืองออรังกาบัด หรือถ้ำอิลิเฟนตา ที่อยู่บนเกาะไม่ไกลนักจากมุมไบ รวมทั้งถ้ำกัณฑ์หิรีที่จะกล่าวถึงวันนี้ สองถ้ำหลังอยู่ในมุมไบ โดยเฉพาะถ้ำกัณฑ์หิริ ถือว่าเป็นถ้ำในเมืองที่สะดวกที่สุดสำหรับคนที่จะไปเยือนที่มีเวลาไม่มากนัก


ตัวถ้ำปัจจุบันนี้อยู่ในวรรณอุทธยานแห่งชาติสัญชัยคานธีร์ (Sanjay Gandhi National Park) ใช้เส้นทางหลัก Western Freeway จากสนามบินนานาชาติมุมไบจะประมาณ 23 กม. แค่นั้นเอง ทางเข้าอุทธยานจะอยู่ด้านขวามือ ดังนั้นเมื่อขับรถไปและเห็นอุทธยานอยู่ทางขวามือแล้ว ต้อง U-turn ที่ใต้สะพานลอยข้างหน้า
ประตูทางเข้าอุทธยาน
อุทธยานสัญชัยนี้ถือเป็นปอดขนาดใหญ่ของคนมุมไบทีเดียว เพราะมีขนาดถึง 104 ตร.กม ขนาดกว้างxยาว ประมาณ 10 กม.x 10 กม. เชียวหละ เข้าใจว่าอาจจะมีที่เดียวในโลกที่มีอุทธยานใหญ่ขนาดนี้อยู่ในเมืองใหญ่เกิน 10 ล้านคน
เส้นทางจากประตูทางเข้าอุทธยานไปยังถ้ำ
จากทางเข้าถึงตำแหน่งถ้ำประมาณ 6 กม. เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูฝน ไปแล้วไม่ผิดหวังจริงๆเพราะต้นไม้ใหญ่น้อย เขียวชอุ่มไปตลอดทาง
ลิงเป็นสัตว์คู่ป่าที่เห็นได้ตลอดทาง
 ตรงไหนเป็นลำธาร ก็มีสายน้ำให้เห็น น้ำไส ไหลเย็นจริงๆครับ

ลำธารระหว่างทางขึ้นเขา มีให้เห็นเป็นช่วงๆ
ขับรถทอดอารมณ์มาอึดใจนึง ก็ถึงตำแหน่งถ้ำ ซึ่งก่อนนี้ต้องจอดรถตรงประมาณ 800 ม. ก่อนถึงจุดนี้จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นไปตามทางลาดชัน พอให้หอบแฮกๆได้ชียวหละ
จุดที่ต้องเดินปีนไปยังถ้ำ
สำหรับนักท่องเทียวต่างชาติแนะนำให้ของขบเคี้ยวจำเป็นหรือน้ำไปด้วยครับ เพราะไปแล้วข้างในจะไม่มีร้านมาตฐานหรือร้านอาหารให้พอทานได้ มีแต่ชาวบ้านวางขายผลไม้และแตงกวาให้ทานแก้กระหายได้
แม่ค้าชาวบ้านที่ขายของตรงทางขึ้นถ้ำ
ยกเว้นผม ฮาๆๆ ที่ได้ทานได้ทุกสถานการณ์ อย่างเช่นมะม่วงจิ้มพริกเกลือชาวบ้าน ชุดนี้
มะม่วงเปรี้ยวได้ใจจิ้มพริกเกลือชาวบ้าน
ได้มะม่วงเสร็จก็ไปชมถ้ำกันเลยครับ ทุกๆวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งอินเดียและต่างชาติไปเยือนถ้ำแห่งนี้

ตัวถ้ำ Kanheri หรือถ้ำ กฤษณะคีรี ตามรากภาษาสันสกฤตินี้ มีอายุระหว่าง พ.ศ. 443 - 1543 จะเห็นว่าศรัทธามนุษย์นี่ ยิ่งใหญ่จริงๆ กว่าจะบรรลุแรงศรัทธาสักอย่างคนสมัยก่อนเขาใช้เวลากัน 100 ปี, 1000 ปี
ประวัติถ้ำพอสังเขป
ถ้ำต่างๆจะกระจัดกระจายไปตามไหล่เขาใหญ่บ้างเล็กบ้าง จำนวน 109 ถ้ำ ถ้ำใหญ่สุดเสมือนหนึ่งพระอุโบสถ สำหรับชุมนุมสงฆ์และเทศนาธรรม
ถ้ำใหญ่ที่สุดเสมือนพระอุโบสถ
นอกนั้นจะเป็นเหมือนที่จำวัด รวมทั้งที่ศึกษาธรรม วิปัสสนาของพระสงฆ์ต่างๆ
ถ้ำส่วนใหญ่จะมีลักษณะแบบนี้
การแกะสลักตามผนังถ้ำเห็นแล้วก็ให้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน แม้ไม่อลังการทุ่มทุนสร้าง เช่นถ้ำ อชันตา อโรรา ของเมืองออรังกาบัดก็ตาม





ถ้ำ Kanheri นี้ถือเป็นฐานที่มั่นและศูนย์กลางกลางการเผยแผ่ พุทธศาสนาทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย มาตั้งแต่ พ.ศ. 843 มีนักพระสงฆ์ดังๆหลายรูปในอดีตกาลที่ได้เดินทางมาศึกษาธรรมยังถ้ำแห่งนี้ จากตัวถ้ำใหญ่ต้นทาง เดินไปตามทางขึ้นไปอีก

จะเห็นทางนำไหล ที่เกิดจากการประดิฐษ์ของมนุษย์เพื่อเก็บกักน้ำช่วงฤดูฝนไว้ใช้ยังหน้าแล้ง เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวได้สนุกสนาน ในการได้ลงอาบน้ำเล่น


หากยังไม่เหนื่อยพอ ก็เดินต่อไปยังจุดบนสุดของภูเขาแห่งนี้กัน ซึ่งตลอดทางทางเดินขึ้น ก็จะมองเห็นสภาพถ้ำเสมือนที่จำวัด กระจัดกระจายทั่วไป


สำหรับโรมานซ์อินเดีย มีให้ให้เห็นทั่วไปในอินเดีย ซึ่งคนอินเดียมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาเป็นแฟนกันแล้ว ก็จะเป็นคู่กันไปจนตาย รวมทั้งตามพื้นที่แห่งนี้ที่นั่งกันเป็นคู่ๆไม่ต้องอายใคร เพราะเราไม่มองใคร ส่วนใครจะมองเรา ช่างมัน (ฮาา)

ขึ้นมาถึงบนสุดได้แล้วหายเหนื่อยครับ เป็นที่ราบพอให้เล่นตะกร้อได้หลายวง มองไปรอบด้าน เห็นป่าสุดลูกหูลูกตา ไปทุกด้าน


ต้องยอมรับว่าอินเดียเขาอนุรักษ์ป่าไม้จริงๆจัง จนบ้างครั้งก็แทบไม่น่าเชื่อ แต่อยู่อินเดียไปนานๆนี่จะรู้เลยว่า เป็นเรื่องจริงแท้ทีเดียว

ดอกหญ้าสวย พริ้ว ปลิวไสว ตามสายลม


สำหรับใครที่เป็นคนชอบธรรมชาติและประวัติศาสตร์ หากมีโอกาสได้ไปมุมไบ และมีเวลาไม่มากของวันว่างๆ Kanheri Caves หรือถ้ำกฤษณะคีรี เป็นหนึ่งหนึ่งสถานที่ ที่ท่านควรไปเยื่อนครับ





วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Andaman and Nicobar Islands หมู่เกาะมรกตแห่งอันดามัน

อินเดียมีความหลากหลายทางธรรมชาติมากมาย มีทั้งหิมะ ทะเลทราย ภูเขา และ ทะเล แม้แต่คนอินเดียกันเองก็เข้าใจได้ไม่หมด

หมู่เกาะอันดามันแอนด์นิโคบาร์ เป็นอีกสถานที่หนึ่งของอินเดีย ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเพราะภูมิประเทศประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อย 572เกาะ ทอดเรียงกัน ท่ามกลางท้องทะเลสีครามเข้ม ใสสะดุดตาไปหลายๆเมตรจนทำให้เห็นความงามใต้ท้องทะเล ทั้งปาการัง ฝูงปลาใหญ่น้อยได้อย่างชัดเจน มีประชากรอาศัยอยู่รวมแล้วประมาณ 600,000 คน (ปี 2014) ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนเกาะอันดามัน

โดยธรรมชาติแล้วคล้ายกับหมู่เกาะมัลดีฟ ที่เที่ยวยอดฮิตที่คนไทยรู้จักกันดี ใครเป็นคอกีฬาทางน้ำ ประเภทดำน้ำดูปะการัง ที่นี่คงเป็นหนึ่งใน wish lists ของทุกคนด้วยแน่นอน 

น้ำทะเลที่เห็นใสจริงๆ (เครดิตภาพจากเน็ต)

หมู่เกาะตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามันห่างแผ่นดินใหญ่อินเดียไปทางตะวันออก 1,200+กม. แต่ห่างประเทศไทยฝั่งระนองภูเก็ตเพียง 400+ กม. และห่างจากเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียเพียง 150กม. ดังนั้นหากพิจารณาทางภูมิศาสตร์แล้ว หมู่เกาะนี้น่าจะเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่งในอาเซี่ยนมากกว่าจะเป็นของอินเดีย เพราะอยู่ไกล้กว่ากันมาก




แต่ทางประวัติศาสตร์แล้ว กลับคล้ายกับเกาะตะรุเตาของไทย เพราะในอดีตยุคล่าอณานิคม อังกฤษใช้เกาะนี้เป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองร้ายแรงของอินเดียหรือ Freedom fighters ทั้งหลาย Cellular jail คือคุกที่อังกฤษสร้างขึ้นเพื่อขังนักโทษดังกล่าว นอกเหนือจากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เกาะนี้ได้ผนวกกับอินเดียมาก่อนแล้ว และนี่ก็เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่หมู่เกาะนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย
ด้านหน้าทางเข้า Cellular Jail

ปัจจุบันอาคารคุก Cellular Jail นี้ได้รับการรักษาดูแลอย่างดีเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม มีภาพถ่ายและประวัตินักโทษการเมืองแต่ละคนด้วย
อาคารพิพิธภัณฑ์ที่มีภาพถ่ายและประวัตินักโทษแต่ละคนคร่าวๆ

ตัวอาคารออกแบบอย่างฉลาดคล้ายปลาดาว เป็นแฉกๆมีทางขี้นลงที่จุดเดียวคือตรงกลาง
ภาพมุมสูงตัวอาคาร (เครดิตภาพจากเน็ต)
แต่ละแฉกของอาคารของอาคารซึ่งเป็นห้องขังเรียงกันเป็นตับ ด้านหน้าของห้องขังหนึ่งมองออกมาจะเจอกับด้านหลังของอีกห้องขังหนึ่งที่อยู่ ณ อีกแฉกหนึ่ง ทำนองว่านักโทษแต่ละคนจะไม่มีทางเห็นหน้ากันเลย
ด้านหน้าของแต่ละห้องขัง จะมองเห็นด้านหลังของอีกห้องขังที่อยู่อีกแฉกหนึ่ง

ทางขึ้นลงมีจุดเดียวอยู่ตรงกลาง สามารถขึ้นไปได้จนถึงชั้นดาษฟ้า
อาคารที่เห็นคือจุดขึ้นลงซึ่งมีเพียงจุดเดียว

บรรยากาศบนดาษฟ้า สามารถมองเห็นวิวทะเลชัดเจน หากท้องฟ้าอากาศโปร่งกว่าวันที่ไปถึงคงสวยงามกว่าที่เห็นมาก
บนดาษฟ้าบรรยากาศสวยงามมองเห็นทะเลและเกาะได้ชัดเจน
เกาะที่เป็นจุดสนใจของหมู่เกาะนี้ นอกเหนือจากเกาะใหญ่ 2 เกาะหลัก คืออันดามัน และนิโคบาร์แล้ว ยังมีเกาะอื่นๆอีกเช่น เช่น Ross island 
ท่าเรือเดินทางไป Ross Island ที่มองเห็นลิบๆอยู่ข้างหน้า

อยู่ใกล้เมืองท่า Port Blair ซึ่งเป็นเมืองหลวงของหมู่เกาะอันดามันแอนด์นิโคบาร์เพียง 1กม. ใช้เวลาเดินทางโดยเรือแค่ 10-15 นาที แค่นั้นเอง
ชายหาดรอบเกาะ Ross Island

ในอดีตเกาะนี้เป็นที่ตั้งของที่ทำการของอังกฤษ แต่หลังจากเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งรวมทั้งหลังสงครามโลกครั้งที่2 ที่เกาะนี้ถูกระเบิดถล่มด้วย ปัจจุบันจึงคงเหลือแต่ซากอาคารต่างๆให้เห็นเท่านั้น 
ซากอาคารต่างๆซึ่งในอดีตเคยอาคารสวยงาม

และไม่มีคนอยู่อาศัยมีแต่กวาง และนกยูงที่ถูกเลี้ยงไว้บนเกาะที่คุ้นกับนักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารกับมือได้แทบทุกตัว 
กวางเชื่องๆเดินไปมาอยู่หลายตัว สามารถให้อาหารกับมือได้

ปรกติท่าเรือจาก Port Blair จะให้เวลานักท่องเที่ยวใช้เวลาอยู่บนเกาะ Ross Island ไม่เกิน 3 ชม. ซึ่งจะมีเรือรอบต่อไป ไปส่งนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอีก พร้อมกลับรับนักท่องเที่ยวก่อนนี้กลับไปยังเกาะอันดามัน


อีกหนึ่งเกาะยอดฮิตคือ Havelock island ที่ใช้เวลาประมาณ 2ชม.จากท่าเรือ Port Blair โดยเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่ที่มีให้บริการทั้งของรัฐบาลและเอกชน
เกาะ Havelock (เครดิตภาพจากเน็ต)
หรือเพียง 20 นาทีหากใช้บริการ Seaplane (เครื่องบินวิ่งบนน้ำได้) 
Seaplane ที่ให้บริการระหว่าง Port Blair กับ Havelock

ซึ่งบนเกาะนี้ ถือเป็นเกาะที่ต้องไปสำหรับคนไปเที่ยวหมู่เกาะ Andaman & Nicobar เพราะมีหาดที่สวยงามหลายหาด
หาดสวยงามบนเกาะ Havelock (เครติดภาพจากเน็ต)

โดยเฉพาะหาด Radhanagar ที่ Time Magazine ปี 2004 เคยจัดให้เป็นหาดที่สวยงามมากที่สุดในเอเชีย มาแล้ว
หาด Radhanagar (เครติตภาพจากเน็ต)

มีรีสอร์ทหลายแห่งให้ได้พักที่นี่ แต่เนื่องจากผมไปดูงานไม่มีเวลามากนักประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงมรสุม ผมจึงไม่ได้ข้ามไปดูเกาะแห่งนี้
Resort หนึ่งในหลายๆรีสอร์ทบนเกาะ Havelock (เครดิตภาพจากเน็ต)

ตอนช่วงที่ผมไป 11-13 ก.ค. 14 ถือว่าเป็นช่วง Peak ของมรสุมแล้ว บรรยากาศทั่วไปจึงเต็มไปด้วยเมฆหมอก แถมด้วยฝนเป็นระยะๆ จึงทำให้ไม่มีโอกาสนั่งชมความงามบรรยากาศที่ใดๆได้นานๆประมาณว่าได้แต่เพียงแค่โฉบๆเพื่อเก็บบรรยากาศแค่นั้นเอง 
ถนนเลียบชายหาดในเมือง Port Blair เมืองหลวงของหมู่เกาะนี้

เวลาส่วนใหญ่จึงใช้อยู่แค่บนเกาะอันดามัน โดยใช้เวลานั่งรถไปชมบบรยากาศโดยรวมของเมือง Port Blair รวมทั้งหาดสวยงามบนเกาะ ซึ่งก็มีอยู่หลายหาดเช่นกัน
บรรยากาศข้างทางบางจุดในเมือง Port Blair

สภาพถนนในเมือง Port Blair
เช่น Corbyn's Cove beach อยู่ห่างสนามบินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4.5 กม 
หาด Corbyn's Cove Beach ที่เป็นยอดฮิตของเกาะอันดามันตอนใต้

หาดนี้เป็นหาดที่มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันมากที่สุดของเกาะอันดามันตอนใต้ เนื่องจากถือว่าอยู่ในเมืองไปมาสะดวก มีเก้าอี้ชายหาดให้นั่งเล่น และกิจกรรมทางน้ำให้สนุกกันได้ด้วย
มีกิจกรรมทางน้ำหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวได้สนุก
นอกนั้นก็มี Wandoor beach ออกนอกเมือง Port Blair ไปทางใต้ประมาณ 25กม. 
หาด Wandoor Beach ที่สวยงามและไม่พลุกพล่าน

หาดยังมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า Corbyn's Cove นักท่องเที่ยวยังน้อย (อาจจะเพราะช่วงมรสุมดังกล่าว) 
หาดสวย น้ำใส และนายแบบหล่อ555

มีโขดหินสวยให้ได้นั่งเอาเท้าแหย่น้ำให้ปลาตอดเล่นได้ด้วย



โขดหินสวยที่หาด Wandoor
และอีกหาดที่เดินทางไกลลงใต้ออกมาอีกหน่อยคือ Chiriya Tapu beach อยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะอันดามัน 28กม.จาก Port Blair 
หาดยังเป็นธรรมชาติแบบเดิมๆอยู่มาก

หาดนี้จัดเป็น Eco friendly beach ด้วย คือทุกอย่างที่ใช้ก่อสร้าง หรือของใช้ที่นี่ จะทำจากวัสดุธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีพลาสติก สังกะสีหรือวัสดุอื่น เรื่องอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมนี่ ต้องยอมรับว่าอินเดียเขาทำได้ดีกว่าไทยมากๆ

ชายหาดวันไปเที่ยวแทบไม่มีนักท่องเที่ยว 
ปรกติหากเป็นช่วงพ้นมรสุมไปแล้ว จุดขายของหาดนี้อีกอย่างคือไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สีแสงสวยงามมากยามตัดกับทะเลสีคราม แต่วันที่ผมไปนั้น อย่าว่าแต่พระอาทิตย์เลย แสงอาทิตย์แทบมองไม่เห็นเพราะครึ้มฝนทั้งวัน เลยอดมีภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆมาฝาก


Mount Harriet เป็นอีกหนึ่งที่ ที่น่าสนใจของเกาะ เนื่องจากเป็นจุดชมวิวสูงสุดของอันดามันตอนใต้สูงประมาณ 366ม.เหนือระดับน้ำทะเล ไปจุดดังกล่าวจะต้องเอารถใส่เรือ Ferry ข้ามไปอีกเกาะ
ขึ้นเฟอร์รี่เพื่อไปดู Mount Harriet

หลังจากลงเฟอร์รี่แล้ว ก็นั่งรถขึ้นเขาไปอีกประมาณ 15 นาที ระหว่างทางผ่านโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะนี้ด้วย
Catholic Church Panighat
เหลือประมาณ 100 ม. สุดท้ายจึงเห็นป้ายทางเข้า และเป็นจุดที่ต้องเดินขึ้นไปเอง 
จุดที่ต้องเดินเท่าไปเองอีกประมาณ 100 ม.

จุดสูงสุดที่จัดให้ชมวิว ยอมรับว่าสวยจริงๆสามารถมองเห็นเกาะสำคัญอื่นๆได้หลายเกาะ เสียดายวันที่ไปเป็นยามเย็นทั้งเมฆทั้หมอกเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวของหมอก เลยอดเห็นเกาะต่างๆไป
ศาลาชมวิว

ตอนนี้อินเดียกำลังเข้าสู่โหมดพัฒนาอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งหมู่เกาะนี้ด้วย จุดขายของอันดามันแอนด์นิโคบาร์คือแหล่งท่องเที่ยว อินเดียจึงต้องการสร้างหมู่เกาะนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันออกของประเทศ คู่กับรัฐกัวร์ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก

และตอนนี้ก็ประเดิมด้วยการจะสร้างสนามบินแห่งใหม่บนเกาะนี้ ให้เป็นสนามบินนานาชาติด้วย ต่อไปไม่แน่อาจจะมีสนามบินจากไทยไปหมู่เกาะนี้ด้วยราคาย่อมเยาก็เป็นได้ เพราะใช้เวลาบินไม่เกินครึ่งชั่วโมงเอง
ด้านขวามือของภาพคือที่จะสร้างสนามบินอาคารใหม่ให้เป็นสนามบินนานาชาติ

การไปเกาะนี้ครั้งนี้ของผมก็เพื่อภาระกิจที่ว่านี้ครับ....หากโชคดีได้งานนี้คงได้ย้อนกลับมาชมเกาะนี้อีกครั้ง....หมู่เกาะมรกตแห่งอันดามัน