วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อย่าสร้างกรอบขังตัวเอง

วันหนึ่งผมไปตีก็อล์ฟที่สนามแห่งหนึ่งในมุมไบ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันหยุดเทศกาลไปถึงจึงทราบว่า แค้ดดี้มีไม่พอเพราะหยุดไปตามเทศกาลกันหมด ก๊วนก่อนผมเป็นอินเดียท่าทางจะเป็นเมมเบอร์สนามเพราะเห็นยืนโล้งเล้งกับแค้ดดี้มาสเตอร์ว่าทำไมไม่มีแค้ดดี้ อย่างนี้ก็ออกไม่ได้สิ

ก๊วนเราคนไทยคิวต่อจากอินเดียก็รู้สึกเซ็งนิดๆเพราะรู้ว่า วันนี้คงต้องลากถุงเองอีกแล้ว ว่าแล้วเราก็ไปติดต่อหา รถลากถุงก็อล์ฟ ได้แล้วก็มาเตรียมตัวออกทีออฟ
ก๊วนถัดจากก๊วนผมเป็นเกาหลี ผมเห็นเขาเดินมาคุยกับ แค้ดดี้มาสเตอร์ แป้ปเดียว จากนั้นทั้ง 3 คนของก็วน ก็เดินแบกถุงตัวปลิวออกรอบไปก่อนใคร ก๊วนผมก็ลากถุงตามไปเป็นก๊วนถัดมา ผมทีออฟลูกออกไปแล้ว เดินออกไปจากหลุม 1 หันหลังกลับไป ก็ยังเห็นก็วนอินเดียโล้งเล้งกับแค้ดดี้มาสเตอร์อยู่ที่แท่นทีออฟยังไม่จบ
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องจริง ทุกองค์กรไม่ว่าเล็กใหญ่ไม่ว่าของประเทศอะไร เราต่างก็เจอเห็นพฤติกรรมของคน 3 ประเภทนี้ได้เสมอๆ
·       ประเภทแรก คนแบบนี้เอาเป้าหมายเป็นที่ตั้ง แล้วหาวิธีการเพื่อให้ถึงวัตถุประสงค์นั้น เขาพร้อมที่จะคิดสิ่งใหม่ๆแล้วปรับปรุงวิธีการไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ โดยไม่ยอมให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
·       ประเภทที่ 2 คนประเภทนี้ต้องอาศัยตัวช่วยเล็กน้อย อาจจะเป็นคำปรึกษา คำอธิบายวิธีการใหม่ที่ใช้ได้เหมือนกัน เขาก็จะทำตามและได้วัตถุประสงค์เดียวกัน อาจจะเสียเวลาในการเรียนรู้ตอนแรกเล็กน้อย
·       ประเภทสุดท้าย เป็นบุคคลที่ยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติแบบเก่าๆ กฎระเบียบที่มีอยู่ ปฏิบัติมาอย่างไรก็จะไปอย่างนั้นสุดท้ายแล้วก็จะใช้เวลาไปกับการหาทางออกแบบเดิม เสียเวลา และท้ายสุดแล้วเป้าหมายที่ต้องการก็เลื่อนออกไปหมด
การที่องค์กรหรือประเทศของเราจะเดินหน้าก้าวพ้นปัญหาไปได้ และเจริญรุ่งเรื่องได้อย่างมั่นคงและถาวรนั้น เราทุกคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือประเทศชาติ จะต้องคิดแบบคนประเภทที่ 1 หรือ 2 ครับ
เป้าหมายต้องมาก่อน วิธีการ กฎระเบียบ ปรับเปลี่ยน ปรับปรุงได้ตามสถานการณ์ครับ

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ไพร่โค่นอำมาตย์ของจริง


ผลเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศอินเดียเมื่อ 16 .. 14 ปรากฎว่าพรรคฝ่ายค้านนำโดย นาเรนทรา โมดิ ชนะอย่างท่วมท้นเกินครึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมด จาก 543 เสียงทั่วประเทศ
 
นายโมดิ เกิดในตระกูลไพร่ตัวจริง คือวรรณะศูทรชั้นต่ำสุด หรือปัจจุบันเรียกขานกันว่า Backward Caste เป็นลูกคนที่ 3 จาก 6 คนของพ่อค้าขายชา
ตั้งแต่เด็กก็ช่วยพ่อขายชาบนรถไฟและตามสถานีรถไฟ โดยระหว่างทำงานขายชากับพี่ชาย ก็เรียนไปด้วย จนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนที่ไม่ดีนัก แต่เป็นนักโต้วาทีและนักพูดชั้นยอดของชั้นเรียน

เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม RSS หรือกลุ่มชาตินิยมฮินดู ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น แม้ตามธรรมเนียมฮินดู ลูกๆจะต้องแต่งงานกับคู่ครองที่พ่อแม่หาให้ตั้งแต่สมัยเด็ก และครอบครัวเขาก็เช่นกัน แต่เขาก็ได้ปฏิเสธการปฏิบัติตามประเพนีนี้ และขอครองตัวถือพรหมจรรย์เป็นนักบวชในเพศฆราวาสตั้งแต่เด็ก จนถึงทุกวันนี้

ด้วยความพยายามคงความเป็นชาตินิยมฮินดูมากที่สุด เขาจึงนิยมแต่งตัวโจงกระเบนแบบสไตล์แขกอย่างที่เห็น และแม้จะพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ก็พยายามจะพูดแต่ภาษาอินเดียของเขาเท่านั้นเพื่อคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอินเดีย ทั้งกาย วาจา และใจ ว่างั้นเถอะ
 
เขาไต่เต้าทางการเมืองผ่านช่องทางการเป็นสมาชิก RSS ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพรรค BJP ตัวจริง ครั้นตำแหน่ง Chief Minister ของรัฐคุชราชว่างลงในปี ค.ศ. 2001 เขาก็ได้เป็นตัวแทนพรรค BJP ลงแข่งขัน และก็ได้เป็นสมใจ ด้วยบุคคลิกโผงผาง เด็ดขาด และวิสัยทัศน์ดี ทำให้รัฐคุชราชพัฒนาทางอุตสาหกรรมได้อย่างก้าวกระโดดเหนือรัฐอื่นๆของอินเดีย และได้เป็น CM ติดต่อมาทุกสมัยถึงปัจจุบันเป็นสมัยที่ 4 แล้ว ก่อนเป็นตัวแทนพรรคลงแข่งเวทีใหญ่ครั้งนี้ และก็ได้สมใจอีกเช่นกัน ชนะพันธมิตรรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยพรรคคองเกรสหรือตระกูลคานธี ตัวอำมาตย์ตัวเอ้ ที่สืบช่วงการเมืองมาถึงปัจจุบันช่วงที่ 3 แล้ว อย่างไม่เห็นฝุ่น
 
ผู้นำหลายประเทศในอดีตและปัจจุบัน ต่างก็พังเพราะลูกเมียและคนรอบข้างต่างกอบโกย ตัวโมดิกลับประกาศให้โลกรู้ว่า เขาอายุ 63 ปีแล้ว ไม่มีลูกเมีย จึงไม่รู้จะคอรัปชั่นสะสมสมบัติไปให้ใคร สมบัติติดตัวตามที่มีปัจจุบัน ราว 10 ล้านรูปีก็เพียงพอแล้วสำหรับไพร่อย่างเขา...
 
อุดมการณ์แข็งแกร่งดุจหินผาจริงหรือไม่ กาลเวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์..ก็ต้องรอดูกันครับ

กฎอัยการศึก (Martial Law)

กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายซึ่งได้ตราขึ้นไว้สำหรับประกาศใช้เมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เช่น ในกรณีเกิดสงคราม การจลาจล ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจหน้าที่เหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ์ การระงับปราบปรามหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาบางอย่างที่ประกาศระบุไว้แทนศาลพลเรือน


กฎอัยการศึกของไทย ตราขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ .. 2450 เรียกว่า กฎอัยการศึก .. 126 มีทั้งสิ้น 9 มาตรา โดยถอดแบบมาจากกฎอัยการศึกของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาใน .. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าอำนาจของทหารตามกฎอัยการศึก .. 126 นั้นยึดตามแบบฝรั่งเศส แต่ไทยใช้ตำราพิชัยสงครามตามแบบอินเดีย ซึ่งไม่สอดคล้องกัน จึงทรงยกเลิกกฎอัยการศึก .. 126 และตรา กฎอัยการศึก .. 2457[1] ขึ้นใช้แทน มีทั้งสิ้น 17 มาตรา และยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้

ตำรับพิชัยสงครามของอินเดียได้เดินทางมาถึงภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับคติความเชื่อ ศิลปะ วิทยาการแขนงต่างๆ และปรัชญาในการดำเนินชีวิตแบบพราหมณ์-ฮินดู และพุทธทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท(หินยาน) มีอิทธิพลต่อตำรับพิชัยสงครามของประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทบทั้งหมดรวมทั้งไทยด้วย

ศาสตร์ในการทำสงครามหรือพิชัยยุทธ์ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่เหล่ากษัตริย์ในสมัยโบราณต้องศึกษาเรียนรู้อย่างแตกฉานโดยผ่านการถ่ายทอดจากพราหมณ์หรือบัณฑิตประจำราชสำนักเพราะกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงคือจอมทัพหรือนักรบที่จะต้องทำศึกสงครามทั้งในเขตราชอาณาจักรและนอกเขตราชอาณาจักรของตน

วันนี้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสงคราม แต่เป็นสงครามรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์มาประจัญบาลกันซึ่งๆหน้า (แม้จะมีบ้างประปรายจากบางกลุ่ม) ที่อาจจะนำไปสู่การสูญเสียของประเทศมากไปกว่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของทหารตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศกฎอัยการศึกได้

งานนี้คงมีการเชือดไก่ให้ลิงดูแน่นอน อย่ากระพริบตาครับ ว่าใครจะสังเวยศาลทหาร ตามกฎอัยการศึกเป็นรายแรกหลังจากนี้

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บางอย่างที่ดีขึ้นของอินเดีย

มีข้อคิดจากการเดินทางไปประชุมที่ดูไบเร็วๆนี้ ระหว่างเข้าแถวตรวจคนเข้าเมืองเดินทาง มี 3แม่ลูกสาว อยู่คิวหน้าผม และหนุ่มหล่อ 1 คนอยู่คิวตามหลังติดกับผม

วันนั้นคิวยาวและรอนานพอสมควรครับ ขณะอีก คิวจะถึงคิว แม่ลูก เขาก็รู้ว่าลืมกรอกแบบฟอร์มออกต่างประเทศ เหลียวซ้ายหันขวา เห็นว่าก็ไกลพอสมควรที่จะเดินออกไปหาแบบฟอร์ม และทำหน้าท้อใจที่อุตส่าห์เข้าคิวมาตั้งนาน กะลังจะถึงคิวอยู่แล้ว ทันใดนั้นหนุ่มหล่อ ก็ออกตัวอาสา บอกว่าไม่เป็นไรให้รอคิวอยู่ที่นี่แหละ ว่าแล้วเขาก็จั้มเอ้าโดยเร็ววิ่งไปหาฟอร์มที่ว่ามาให้ ตอนถึงเขาหอบพอสมควร เพราะวิ่งไปเร็วจะให้ทันรีบกลับมาทันคิว ผมเห็น 3 แม่ลูกรับฟอร์มไปแล้ว ก็รีบเอาไปกรอกโดยไม่ได้กล่าวขอบคุณชายที่ว่าแต่อย่างใด ชายคนดังกล่าวรู้สึกอะไรมั่ง ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกครับ

ความรู้สึกแรก ที่ 3 แม่ลูกไม่ได้กล่าวขอบคุณ นี่คือสิ่งสะท้อนสังคมโดยทั่วไปของอินเดีย ที่ต่างคนต่างอยู่ความเอื้ออาทรต่อกันมีน้อยเพราะสภาพทางสังคมบังคับ ต่างชาติจะเห็นพฤติกรรมแบบนี้ชัดจากเด็กขอทานข้างถนน ที่แม้คุณให้ทานไปแล้วกี่คนก็ตาม คุณจะไม่ได้ยินคำขอบคุณจากเด็กเหล่านั้นเลย เขาเชื่อว่าที่เขาได้รับทานนั้น เพราะความสามารถของเขาเอง

ความรู้สึกที่สอง เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆที่เห็นชายหนุ่มมีน้ำใจวิ่งไปหาแบบฟอร์มมาให้ 3แม่ลูก ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่บ่อยในสังคมอินเดีย แสดงว่าเดี๋ยวนี้อินเดียสมัยใหม่ อาจจะจากวุฒิภาวะการศึกษาที่ดีขึ้น หรือการหลั่งใกลของวัฒนธรรมจากต่างชาติ เข้ามาผ่านช่องทางใดก็แล้วแต่ ทำให้คนรุ่นหลัง มีการพัฒนาทางจิตใจเรื่องความเอื้ออาทรต่อกัน ไปในทางที่ดีขึ้น

ความรู้สึกสุดท้าย ย้อนกลับมานึกตอนผมกลับมาไทยในแต่ละครั้ง ความเอื้ออาทร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนไทยส่วนใหญ่ มาอย่างยาวนาน ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้หายไปเยอะครับ

รึเรากำลังเดิน สวนทางกับอินเดีย.เฮ้อ...เศร้า


ศิลปะการปฏิเสธแบบคนอินเดีย

ระหว่างนั่งเครื่องจากมุมไบ เพื่อไปประชุมที่กัลกัตตาวันหนึ่ง ซึ่งปรกติเวลานั่งเครื่องผมจะเลือกนั่งที่นั่งติดทางเดิน เพราะลุกนั่งไปห้องน้ำสะดวกดี วันนั้นก็เช่นกัน ติดผมที่นั่งตรงกลางเป็นผู้ชายหนุ่ม ถัดไปติดหน้าต่างเป็นผู้หญิงหน้าตาจัดว่าเป็นคนอินเดียที่สวยคนหนึ่ง


ผมจับท่าทางรู้สึกว่าผู้ชายอยากจะคุยกับผู้หญิง แต่กำลังรอจังหวะอยู่ได้ทีตอนผู้หญิงออกปากคุยก่อนเพื่อขอหนังสือพิมพ์ที่ผู้ชายอ่านเสร็จแล้วจะไปอ่านมั่ง เขาจึงเริ่มบทสนทนา

เนื่องจากนั่งติดกันแม้ไม่ได้มีเจตนาจะแอบฟัง ก็ได้ยินการสนทนาเกือบทั้งหมด คุณมาจากรัฐไหน ทำงานที่ไหน อย่างไร ส่วนผู้ชายก็บอกคุณสมบัติตัวเองครบ อยู่เมืองไหน ทำงานบริษัทอะไร ตำแหน่งสูงอย่างไร ผมฟังไปคิดไปก็อมยิ้มไปว่า ผู้ชายเวลาโปรยเสน่ห์นี่ชาติไหนๆก็คงเหมือนกัน

ผมจับคำพูดผู้หญิงก็พอรู้ว่าเธอไม่ได้อยากจะคุยด้วยมากนัก อยากจะอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่า แต่โดยนิสัยและวัฒนธรรมแล้ว อินเดียเขาไม่พูดทำลายน้ำใจกันตรงๆครับ หากจะปฏิเสธ คุณเธอจะมีวิธีของเธอเอง คอยดูกัน...ผมคิดในใจ

สักพักบทสนทนาเป็นเรื่องงาน ผู้หญิงได้ที่ ก็พูดขึ้นว่า ฮื่อ!!พ่อของสามีของฉันก็ทำอยู่ที่นั่นค่ะ.. ได้ผลครับหลังจากนั้น บทสนทนาของทั้ง 2คนก็จบลง ผู้หญิงก็ได้โอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ของเธอไปเสียที


อยู่อินเดียนี่นอกจากต้องฟังภาษาพูดเขาให้รู้เรื่องแล้ว ยังจะต้องแปลความหมายที่แท้จริงของเขาให้ถูกต้องด้วยครับ เพราะบอกแล้วคนประเทศนี้เขาใจดี พูดปฏิเสธตรงๆให้ใครรู้สึกเสียใจกันไม่เป็นครับ

การบริหารความขัดแย้งแบบอินเดีย

อินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความหลากหลายของชนชั้น ภาษา วัฒนธรรม และวิธีคิดมากที่สุดในโลก ถามว่าคนอินเดียเขามีวิธีบริหารความขัดแย้งต่างความคิด ของคนในชาติเขาได้อย่างไร

คำตอบสั้นๆคือ "คนเขามีจิตใจดีงาม" และ "ความใจเย็น" ครับ ผมพูดอย่างนี้คงมีเพื่อนจำนวนมากที่มีประสบการณ์การทำงานหรือติดต่อกับคนอินเดียมาก่อน คงยกมือคัดค้านไม่เห็นด้วย อินเดียนะเหรอมีจิตใจดี ครับ เป็นอย่างผมว่าจริงๆ

  1. คนอินเดียปฏิเสธใครไม่เป็น เพราะไม่ต้องการให้คู่สนทนารู้สึกผิดหวัง คำพูดติดปากคนอินเดียทุกคนคือ ชัวร์ ไม่ว่าคุณจะถามอะไรเขาจะตอบคำนี้ไว้ก่อน หากเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาจะตอบว่า I will try, หรือ Try my best คือจะพยายามทำให้ ว่างั้นเหอะ นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าคนต่างชาติจะรู้สึกว่าอินเดียรับปากอะไร ไม่เคยได้ตามสัญญา เพราะแม้เขารู้ตัวว่าทำไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องการปฏิเสธให้ใครผิดหวัง
  2. คนอินเดียรู้และตอบได้ทุกเรื่อง นี่แหละที่มาของอับดุลรู้ทุกเรื่อง หากคุณอยากรู้อะไรและถามคนอินเดีย แม้เขาจะเดินเร่งรีบอยู่กลางถนนหรือทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ทุกคนจะตอบคำถามคุณ เพราะเขาเห็นใจคุณ รู้ว่าคุณกำลังมองหาความช่วยเหลือ แต่นั่นแหละคำตอบเขาจะผิดจะถูกเป็นอีกเรื่องนึง แต่แน่ๆเขาตอบคุณล่ะ555
  3. หากมีความขัดแย้งระหว่างกัน หรือใครทำอะไรไม่ถูกต้อง เขาจะใจเย็นอดทนที่จะคุยและบอกเหตุผลของกันและกันโดยไม่ใช้กำลังตัดสิน โครงการก่อสร้างถนนหลายพันล้าน แม้ติดขัดบ้านชาวบ้านหลังเดียวไม่กี่หมื่น ชาวบ้านชาวเมืองก็ยอมรอกันได้เป็นปีสองปี เพราะต้องการให้เจ้าของบ้านใช้สิทธิคัดค้านจนถึงที่สุด เขาไม่มีวันหักหาญน้ำใจกันเด็ดขาด
  4. แม้คนจนจะกว่าครึ่งประเทศคนนอนข้างถนนกันเต็มเมือง แต่ละคนอาจจะมีข้าวกินไม่ครบ 3 มื้อแต่คนอินเดียก็ไม่มีใครฆ่าสัตว์ตัดชีวิตรอบๆตัวเขา ไม่เหมือนบางประเทศครับ หมา แมว จรเข้ งู้เงี้ยวก็ไม่เหลือ
เชื่อหรือยังว่าคนอินเดีย จิตใจดีงามขนาดไหน....ไม่ได้โม้..

ความขัดแย้งฮินดูมุสลิมในอินเดีย..ฤาจะปะทุอีกครั้ง

พ.ศ.2535 ได้เกิดจราจลครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม จากเหตุการณ์ที่ชาวฮินดูได้ลุกฮือขึ้นไปบุกทำลายสุเหร่าบาบรี ที่เมืองอโยธยา (ปัจจุบันอยู่รัฐ UP) ที่ได้ก่อสร้างขึ้นในสมัยราชวงศโมกุลเรืองอำนาจตั้งแต่ปี พ.ศ.2071 เพื่อที่จะก่อสร้างวัดฮินดูแทนที่ ตามความเชื่อของพวกเขาที่ว่า พื้นที่ตรงนั้นเป็นสถานที่ประสูติของพระราม ที่ชาวฮินดูนับถือเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งของเขา


ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าว และเป็นกรณีพิพาทที่ยืดเยื้อมากว่า 60 ปีแล้ว มุสลิมต้องการเข้าไปบูรณะสุเหร่าของเขาที่ถูกฮินดูทำลายขึ้นมาใหม่ ขณะที่ฮินดูก็ต้องการสร้างวัดฮินดูตามความเชื่อของเขาขึ้นมาแทนสุเหร่า

ปี พ.ศ.2553 Allahabad High Court ได้พิพากษาให้แบ่งพื้นที่พิพาทออกเป็น 3 ส่วน และให้ฮินดูมีสิทธิในพื้นที่ 2 ส่วน ขณะที่ให้สิทธิแก่มุสลิม 1 ส่วน

และ ปีพ.ศ. 2556 Supreme Court of India ได้อนุญาตให้คงสถานะของสถานที่ ตามที่เป็นอยู่ (Status Quo) ซึ่งก็ตีความได้ 2 ทางคือที่เป็นอยู่ก่อนถูกทำลาย หรือที่เป็นอยู่ตามสภาพปัจจุบัน เนื่องจากมีคดีอุธรณ์คำตัดสินของศาล Allahabad หลายสำนวน ที่ยังไม่ชี้ขาด และคาดว่าคงดำเนินการพิจารณาไปอีกนาน ส่วนจะกินเวลาอีกกี่ปีคงไม่มีใครทำนายได้ ดีไม่ดีคดีนี้อาจจะเป็นคดีที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็เป็นได้ กล่าวคือคู่ต่อสู้กันจริงๆตอนปี 2535 ตายกันหมดเมื่อไร จึงค่อยตัดสิน

เลือกตั้งทั่วไปของอินเดียที่ทราบผลไปแล้วเมื่อ 16 พ.ค. 2557 โดยประชาชนทั่วประเทศ เทคะแนนเสียงให้พรรค BJP. มาถล่มทลายเป็นอันดับ 1 เกินครึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าประชาชนในประเทศต่างคาดหวังอย่างสูงสุด ต่อคำมั่นสัญญาต่างๆที่ นาย นาเรนทรา โมดิ ได้หาเสียงไว้

และหนึ่งในหลายคำมั่นสัญญาเหล่านั้น คือ เขาสัญญาว่าจะสร้าง วัดฮินดูขึ้นในเมืองอโยธยาให้ได้...


ฤาความไม่สงบในอินเดีย กำลังจะปทุขึ้นอีกครั้ง

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Pahalgam หุบเขาแห่งธารสวรรค์

Pahalgam เป็นหมู่บ้านเล็กๆมีประชากรเพียง 6-7 พันคน ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ระดับ 2740 ม.จากระดับน้ำทะเล หรือสูงกว่าดอยอินทนนท์ของเรา (2,565 ม.) เล็กน้อย
หมู่บ้านอยู่ห่างจาก Srinagar เมืองหลวงรัฐ J&K ประมาณ 88 กม. ลงไปทางใต้สู่ Jammu แต่เนื่องจากถนนไม่ค่อยดี และจราจรติดขัดช่วงผ่านหมู่บ้านระหว่างทาง เลยใช้เวลาประมาณ 3ชม. 
ประชากร 99% เป็นมุสลิมหน้าตาออกไปทางแขกขาวประเภทอิหร่านหรือตุรกี ส่วนใหญ่ทั้งหญิงและชายหน้าตาจะดีมาก
แต่เนื่องจากมีแต่ม้า และลามอง ไม่ค่อยเห็นแมวมอง หลายคนเลยอดเป็นนายแบบ หรือดาราไป นี่ขนาดที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นคนขายของที่ระลึกหรือคนขับรถหรือบ๋อยบริการตามโรงแรมก็ตาม คนส่วนใหญ่เป็นมิตร ถ่ายรูปเขาได้อย่างยิ้มแย้ม 
 Pahalgam เป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่ซ้อนๆกันหลายลูก เลียบไปตามลำน้ำ Lidder ที่เต็มไปด้วยโขดหินกลมเกลี้ยงทุกขนาด ลำน้ำไล่ระดับต่ำลาดลงไปเรื่อยๆจึงทำให้น้ำที่ใหลเอื่อยลงมาปะทะโขดหิน เต็มไปด้วยสีสรรของฟองน้ำ ฟูฟ่อง เป็นระบำน้ำตกไปกรายๆ


หุบเขาดังๆของ Pahalgam มี 3 หุบสวยงามแตกต่างกันออกไป แห่งแรกห่างตัวหมู่บ้าน Pahalgam ประมาณ 15 กม.เรียกว่า Betaab Valley ธารน้ำใหลสวยมาก 
 น้ำในลำธาร ใสกริปมองเห็นก้นลำธารชัดเจน เห็นแล้วอยากกระโดดลงเล่น แต่พอนึกถึงน้ำเย็นเฉียบเพราะอากาศยัง 10-20 องศา ก็เลยเปลี่ยนใจ
 มีที่ราบระหว่างหุบเป็นลานทุ่งหญ้าสวยมากๆ โดยเฉพาะหากมองลงมาจากเนินเขา หรือถนน เลียบเขาที่วิ่งรถผ่าน

หุบที่ 2 เรียกว่า Chandanwadi จาก Betaab Valley ขึ้นเขาไปอีกสัก 10นาทีก็ถึง จากจุดนี้จะมองเห็นธารหิมะใหลมาจากยอดเขาเป็นทางช้างเผือก สามารถเล่นสกีได้ ลำธารน้ำใหลที่จุดนี้ก็สวยงามไม่แพ้ Betaab Valley
ที่เห็นขาวๆไกลๆนั่นคือธารหิมะทอดยาวมาจากยอดเขา 
น้ำใหลต่างระดับจุดนี้ ของจริงสวยงามมาก แต่ลงไปถ่ายหามุมสวยๆไม่ได้ เพราะไม่มีที่ยืน
เห็นสายน้ำแล้ว นุ่มนวลชวนฝันเหลือเกิน หากมีเวลาคงนั่งมองเพลินได้เป็นวันๆอยู่
หุบที่ 3 เรียกว่า Aru Valley เป็นทุ่งราบในเขากว้าง จะไปคนละทางกับ 2 หุบแรก โดยนั่งรถย้อนจาก Chandawadi ประมาณ 30 นาทีเป็นทุ่งเลี้ยงแกะ ราบกว้างลาดจากยอดเขาไปยังหุบหรือลำธารข้างล่าง เป็นสถานที่ยอดฮิตของหนังบอลลีวูดอินเดียที่ชอบไปถ่ายกันนัก ไอ้ที่เห็นวิ่งรอบภูเขาเป็นลูกๆพร้อมร้องเพลงไปส่วนใหญ่จะถ่ายทำจากที่นี่ เสียดายที่ตอนไปถึงฝนปรอยๆทำให้ทิวทัศน์ขาดสีสรรไป ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน ได้แต่รูปลำธารน้ำสวยมาฝากแค่นั้นเอง
สำหรับคนชอบก๊อล์ฟ หมู่บ้าน Pahalgam มีสนามก๊อล์ฟ 18 หลุมให้ประลองฝีมือด้วยครับ จะไดร้ได้ 300 หลาหรือไม่สำหรับสนามยอดดอยแบบนี้ ไว้ครั้งหน้าจะพิสูจน์ให้

อากาศตอนไปถึงทั้ง 3 จุดตอนกลางวันอากาศสบายๆประมาณ 20 องศา แต่ตอนค่ำและยามเช้าเอาเรื่องทีเดียวน่าจะ 10 องศาบวกลบ ถือว่ากำลังดีสำหรับคนขี้ร้อนและคนไม่ชอบหนาวมากๆ สำหรับบนยอดเขา ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่วไป

1 คืน 2 วันสุดสัปดาห์ ที่ Pahalgam สำหรับคนทำงานที่ต้องการหาเวลาเที่ยวพ่วงไปด้วยอย่างเรา ก็ถือว่าคุ้มสำหรับการเดินทางครับ สำคัญที่สุดได้นั่งเพลินๆถ่ายภาพน้ำใหลเอื่อยๆ โอ้ย!!!สวรรค์ทีเดียวครับ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อีกหนึ่งก้าวของอินเดีย

1 เมษายน 2014 ที่ผ่านมา อินเดียก็ประกาศใช้ Company Act ฉบับใหม่ หลังจากที่ใช้ฉบับเก่ามาตั้งแต่ปี 1956 หากประมวลสาระหลักของการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายฉบับใหม่นี้ ก็แบ่งได้เป็น 2 หมวดหลัก คือ


หนึ่ง: ปรับปรุงระบบตรวจสอบบริษัทให้เข็มแข็งขึ้น กรรมการบริษัทอิสระ (Independent Director) ต่อไปนี้ไม่ใช่แค่เข้าประชุมและได้เบี้ยประชุม แต่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ ตามกฎหมายกำหนดด้วย กล่าวคือจากนี้ไปหากบริษัทฯเกิดความผิดพลาดในภายหลังและตรวจสอบได้ว่าเกิดความบกพร่องจากการตรวจสอบของกรรมการอิสระ ก็มีสิทธิถูกปรับหรือติดคุกหัวโตได้
การโยกย้ายถ่ายโอนหรือทำธุรกรรมกันเองระหว่างบริษัทในเครือ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีขั้นตอนตรวจสอบเข็มแข็งขึ้น กันการโยกย้ายกำไร/ขาดทุน จากบริษัทหนึ่งไปยังอีกบริษัทหนึ่ง

สอง: กำหนดให้บริษัทมีข้อปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลมากขึ้น หรือพูดภาษาธรรมดาๆก็บอกว่าให้แต่ละบริษัทคำนึงถึงหลัก โปร่งใส มีคุณธรรม และยุติธรรม ตรวจสอบได้โดยผู้ถือหุ้น (ย่อย) มากขึ้น นอกจากนั้น จากแต่เดิมแค่แนวคิด ตอนนี้ก็กลายมาเป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามแล้วคือเรื่อง Corporate Social Responsibility หรือ CSR หรือ การรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย โดยกฎหมายฉบับบใหม่นี้ กำหนดให้ทุกบริษัทมหาชน จะต้องใช้เงิน 2% ของกำไรสุทธิ เพื่อการทำประโยชน์ต่อสังคม และจะต้องรายงานการใช้เงินเพื่อการนี้ในรายงานประจำปี (Annual Report) ของบริษัททุกปีด้วย

เป็นไงครับ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อินเดีย นำหน้าไทยไปอีกก้าว เรื่องเหล่านี้เป็นต้นทุนของประเทศที่เราประชาชนทั่วไป ไม่ได้รับอนิสงค์โดยตรง แต่ประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง เศษฐฏิจ และมีหลักปฏิบัติตามหลักธรรมภิบาลสูง จะทำให้ประเทศมี Credit rating หรืออัตราความน่าเชื่อถือต่อประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้การลงทุนโดยต่างชาติก็สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของประเทศ ก็จะต่ำลงด้วย ท้ายสุดแล้วให้อนิสงค์ทางอ้อมจะถึงประชาชนตาดำๆ อย่างเราเอง กล่าวคือมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ค่าครองชีพก็ไม่แพงเกินเหตุ

เราทุกคนในชาติ ขอเพียงอย่าซ้ำเติมประเทศ แต่ช่วยกันให้ความรู้แก่คนรอบข้าง และสนับสนุนการกระทำดีใดๆ ไม่ว่าของฝ่ายใดก็ตามด้วยใจที่เป็นธรรม เชื่อว่าประเทศไทยเราก็จะยังคงเป็นประเทศที่ต่างชาติสนใจจะมาเที่ยวเป็นอันดับ 1 ในโลก ได้อีกแน่ๆ



อินเดียบทใหม่

ตั้งแต่เริ่มเขียนบล็อกตัวเองในปี 2009 ตอนแรกๆก็พอมีเวลาว่างให้เขียนได้อยู่ แต่พอปี 2010 เป็นต้นมา หลังต้องรับภาระกิจในฐานะ MD แล้วก็ทำให้เวลาว่างน้อยลงจนคิดว่าคงเขียนอย่างสม่ำเสมอต่อไปอีกไม่ได้ จึงตัดสินใจหยุดเขียนไปเลย

แต่มาระยะหลังๆได้เขียนและเล่าเรื่องให้เพื่อนๆใน FB ได้อ่าน หลายๆคนอ่านแล้วก็เชียร์ให้เขียนเป็นบทความหรือบล็อกอีก ก็เลยคิดว่าน่าจะลองตามแรงเชียร์ดูอีกครั้ง ในฐานะที่อยู่อินเดียมาก็ตั้งแต่ปลายปี 04 ด้วยภาระหน้าที่ก็เดินทางไปทั่วทุกภาคของอินเดียแล้ว ถือว่านานและเจออะไรมามากพอที่จะเล่าและแชร์ประสบการณ์ให้เป็นวิทยาทานสำหรับคนสนใจที่จะทำธุรกิจกับอินเดีย หรือแม้แต่ที่จะไปเที่ยวอินเดียอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้รับทราบเป็นข้อมูลได้บ้าง

อย่างไรก็ตามข้อมูลจากบล็อกนี้คงนำไปอ้างอิงเชิงวิชาการอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ความหลากหลายและสีสรรของอินเดีย คงยังมีอีกมากที่อาจจะต่างออกไปที่กล่าวถึงในที่นี้

15 พ.ค. ครบรอบวันเกิดตัวเองพอดี อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีของตัวเอง ก็เลยถือเป็นวันเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของบล็อก "Saraban India" ลองติดตามอ่านดูนะครับ