วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เบาๆกับวาทะ George Carlin

  • จอร์จ คาร์ลิน หรือชื่อเต็ม George Denis Patrick Carlin เป็นนักพูดทอร์คโชว์ชาวอเมริกาที่โด่งดังมาก เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 22 มิ.ย. 08 ขณะอายุ 71 ปี โด่งดังเรื่องพูดเสียดสีการเมือง ศาสนาและตลกเดอตี้ เคยได้รางวัลแกรมมี่ถึง 5 ครั้งจากอัลบัมทอร์คโชว์ของเขา ได้ฝากวาทะไว้เมื่อไรไม่ทราบ แต่ผมได้รับจากเมล์ของ MD ที่ได้ส่งต่อไปให้ทราบเมื่อ 31 ก.ค. 09 ที่ผ่านมาเป็นภาคภาษาอังกฤษ ตอนส่งไปให้วันนั้นก็ไม่ได้อ่านเพราะลำพังเมล์งานที่ต้องอ่านแล้วลบออกหรือต้องตอบแต่ละวันก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ก็เลยเก็บไว้ก่อน มามีโอกาสอ่านเอาวันหยุดอาทิตย์นี้ อ่านแล้วก็ชอบใจ ก็เลยขอถ่ายทอดต่อด้วยภาคภาษาไทยที่โพสลง เว็บโอเคเนชั่นโดยคุณประยูรย์เมื่อ 10 ก.ค. 09 (ขอขอบคุณด้วยครับ) เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านไม่ว่าจากภาษาไทยหรือเทศมาก่อน ได้ทราบ ดังนี้ครับ
  • เรามีอาคารที่สูงตระหง่านขึ้น แต่กลับมีความอดกลั้นที่สั้นลง
  • มีทางด่วนที่กว้างขึ้น แต่กลับมีมุมมองที่แคบลง
  • เราจับจ่ายใช้เงินมากขึ้น แต่กลับมีสิ่งของน้อยลง
  • เราซื้อหามากขึ้น แต่กลับสุขสมกับสิ่งที่ได้มาน้อยลง
  • เรามีบ้านหลังใหญ่ขึ้น และขนาดครอบครัวที่เล็กลง
  • มีความสะดวกเพิ่มขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง
  • เรามีวุฒิปริญญาเพิ่มขึ้น แต่กลับมีสามัญสำนึกต่ำลง
  • มีความรู้มากขึ้น แต่กลับมีความสามารถตัดสินใจลดลง
  • มีผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย กลับมีปัญหาเพิ่มพูน
  • มียาเพิ่มขึ้น แต่กลับมีสุขภาพที่ย่ำแย่ลง
  • เราดื่มมากเกินไป สูบมากเกินไป ใช้จ่ายอย่างไม่คิด แต่หัวเราะกันเพียงน้อยนิด
  • เราขับรถเร็วเกินไป โกรธกริ้วมากและเร็วเกินไป นอนดึกขึ้น แต่ตื่นมาแสนโทรม
  • อ่านเพียงน้อยนิด ดูทีวียืดยาว และ แทบไม่เคยสวดมนต์
  • เราเพิ่มการถือครองสมบัติมากขึ้น แต่กลับลดคุณค่าของตัวเองลง
  • เราพูดคุยมาก แทบไม่เคยรักใคร และโกรธเกลียดบ่อยเกินไป
  • เราเรียนรู้ที่จะมีชีวิต แต่ไม่ใช่การใช้ชีวิตเราเพียงเพิ่มจำนวนปีเข้าไปในชีวิต หาได้เพิ่มคุณค่าของชีวิตในแต่ละปีที่เราอยู่
  • เราสามารถเดินทางไปและกลับดวงจันทร์แต่เรากลับพบความยากลำบาก แค่เพียงข้ามถนนไปพบกับเพื่อนบ้านใหม่
  • เราสามารถพิชิตอวกาศนอกโลก แต่ล้มเหลวในการค้นหาภายในตัวเรา
  • เราได้ทำสิ่งใหญ่โตเพิ่มขึ้น แต่หาใช่สิ่งที่ดีขึ้น
  • เราได้ทำให้อากาศสะอาด แต่กลับทำให้จิตวิญญาณตนเองแปดเปื้อน
  • เราสามารถแตกอะตอมออกจากกัน แต่หาได้ลดสลาย อคติของเราไม่
  • เราเรียนรู้ที่จะเร่ง แต่ไม่รู้ที่จะรอ
  • เราวางแผนเพิ่มมากขึ้น แต่สามารถบรรลุความสำเร็จได้น้อยลง
  • เราเขียนกันมากขึ้น แต่เรียนรู้น้อยลง
  • เราสร้างคอมพิวเตอร์เพิ่ม เพื่อจัดเก็บสารสนเทศเพิ่ม เพื่อผลิตสำเนาเพิ่มมากมากขึ้น แต่เรากลับมีการสื่อสารกันน้อยลง
  • นี่เป็นยุคสมัยของอาหารจานด่วน ที่มีการย่อยช้าผู้คนสูงขึ้น แต่มีบุคลิกที่หดสั้นลง
  • ผลกำไรที่พุ่งปรี๊ด แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน
  • นี่เป็นยุคสมัยของสันติภาพในโลก แต่กลับมีการปะทะกันเองภายในท้องถิ่น
  • มีสันทนาการเพิ่มขึ้น แต่ความสนุกสนานลดลง
  • มีอาหารสารพัดชนิด แต่มีคุณค่าทางอาหารลดลง
  • นี่เป็นยุคสมัยที่มีครอบครัวมีสองแหล่งรายได้ แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มพูน
  • ที่อยู่อาศัยซึ่งหรูหรา แต่ครอบครัวที่แตกแยก

เป็นไงครับทันสมัยดีแท้ ดังนั้นอ่านจบจงถามตัวเองว่าเราเป็นเช่นที่ว่าไหม อะไรคือเป้าหมายชีวิตเรา และเราได้อยู่อย่างมีคุณค่า กับคนที่มีค่าต่อเราเพียงพอหรือยัง

1 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากๆ ค่ะ สังคมสมัยนี้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจและพวกเขาก็รู้สึกได้ด้วยตัวเองเช่นกันตลอดเวลาแต่ทำเป็นมองไม่เห็น หรือมองข้าม หรือลืมๆ มันไปซะ ก็ดีค่ะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือจับต้องได้ เห็นและอ่านได้เผื่อใครบางคนอาจจะคิดได้ด้วยค่ะ! เออแฮะ.ไทย เทศ ฝรั่ง แท้จริงก็มีชีวิตไม่ต่าง ตราบใดที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ (สัตว์ประเสริฐ) ซินะ!

    ตอบลบ